วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2561


บันทึกการเรียนรู้ ครั้งที่  12

วันพุธที่  28  มีนาคม พ.ศ. 2561
เวลา 08.30 - 11.30 น.
Knowledge (ความรู้)
  • ศึกษาดูงานการบริหารสถานศึกษา  ณ ศูนย์พัฒนาเด็กพิทักษา

  • การจัดการเรียนการสอน

     ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนพิทักษา มีความมุ่งมั่นปลูกฝังความเป็นผู้นำที่มีจริยธรรมอันดีงาม  พัฒนาความพร้อมในด้านร่างกาย อารมณ์-จิตใจ สังคมและสติปัญญาของเด็กให้เหมาะสมตามวัย  ฝึกให้เด็กสามารถคิด วิเคราะห์แก้ปัญหา และกล้ายอมรับผิดได้อย่างเหมาะสมตามวัย โดยผ่านบทบาทสมมุติ อีกทั้งอยู่ในสังคมอย่างมีความสุขผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่เด็กได้ลงมือทำด้วยตนเองมีครูเป็นผู้คอยช่วยเหลือให้คำแนะนำ โดยแบ่งนักเรียนเป็น ระดับชั้น ดังนี้
  1. ระดับเตรียมพร้อม นักเรียนสามารถช่วยเหลือตนเองเกี่ยวกับกิจวัตรประจำวัน สามารถสื่อความหมายสั้นๆ ง่ายๆ และอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข
  2. ระดับอนุบาล 1 พัฒนาความพร้อมทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญาตามวัย พัฒนาความพร้อมของกล้ามเนื้อเล็กและกล้ามเนื้อใหญ่ประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับตา สร้างระเบียบวินัยการอยู่ร่วมกันในสังคม การช่วยเหลือตนเอง
  3. ระดับอนุบาล 2 เสริมสร้างระเบียบวินัยการอยู่ร่วมกันในสังคม กิริยามารยาทที่ดีงาม การช่วยเหลือตนเอง และเตรียมความพร้อมด้านวิชาการ
  4. ระดับอนุบาล 3 ปลูกฝังความเป็นผู้นำที่มีจริยธรรมอันดีงาม ส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิชาการเพื่อพร้อมเข้าเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1
  • โครงสร้างผู้บริหาร







Apply(การประยุกต์ใช้)

  • สามารถนำแนวทางการบริหารสถานศึกษาไปใช้ได้

บันทึกการเรียนรู้ ครั้งที่  11

วันพุธที่  28  มีนาคม พ.ศ. 2561
เวลา 08.30 - 11.30 น.
Knowledge (ความรู้)
นางสาวไพรจิต ฉันทเกษมคุณ

นางสาวภาวิดา บุญช่วย

นางสาวจิราภร ฟักเขียว

  • นำเสนอตัวอักษรภาษาอังเกี่ยวเกี่ยวกับผู้นำ

  •  นำเสนอการสัมภาษณ์ผู้บริหารสถานศึกษา
โรงเรียน อนุบาลเฉลิมขวัญ

  • คลิปสัมภาษณ์ผู้บริหารโรงเรียนอนุบาลเฉลิมขวัญ





Apply(การประยุกต์ใช้)

  • สามรถนำความรู้จากผู้บริหารไปใช้ในการเรียนการสอนได้และทำให้รู้จักการจัดการภายในโรงเรียนมากยิ่งขึ้น

Assessment(การประเมิน)
self :  ให้ความร่วมมือกับเพื่อนเป็นอย่างดี
friend : มีความตั้งใจดี
Teacher :  อาจารย์มีข้อเสนอแนะนำตลอด

วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2561


บันทึกการเรียนรู้ ครั้งที่  10

วันพุธที่  21  มีนาคม พ.ศ. 2561
เวลา 08.30 - 11.30 น.
Knowledge (ความรู้)

  • นำเสนอคำคมผู้บริหาร
 
นางสาววนิดา สาเมาะห์

นางสาวบงกช เพ่งหาทรัพย์

นางสาวปรียานุช ปานกลาง
  • เทคนิคการเสริมสร้างบุคลิกภาพที่ดีสำหรับการเป็นผู้บริหาร
ความหมายของบุคลิกภาพ
   ลักษณะทั้งภายนอกและภายในที่รวมอยู่ในตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่งและเป็นผลทำให้บุคคลนั้น มีความแตกต่างไปจากบุคคลอื่นๆ บุคลิกภาพแบ่งออกเป็น 2 สภาพ ด้วยกันคือ

  1. บุคลิกภาพภายนอก สามารถสังเกตเห็นหรือสัมผัสได้ด้วยประสาททั้ง 5 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้โดยการฝึกเลียนแบบ และสามารถวัดผลได้ทันที บุคลิกภาพภายนอกที่สำคัญที่สุด คือ บุคลิกภาพทางกายและวาจา
  2. บุคลิกภาพภายใน หมายถึง บุคลิกภาพที่ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน เป็นส่วนที่สัมผัสได้ค่อนข้างยากและต้องใช้เวลาในการสัมผัส
  • ประเภทของบุคลิกภาพ
บุคลิกภาพภายนอก  คือ  สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนจากภายนอกของแต่ละคนสามารถที่จะปรับปรุงแก้ไขได้ง่าย ใช้เวลาไม่นาน แบ่งได้เป็น   4 หมวด คือ          
  1. รูปร่างหน้าตา
  2. การแต่งกาย
  3. กิริยาท่าทาง
  4. การพูด 
บุคลิกภาพภายใน  คือ สิ่งที่อยู่ภายในจิตใจ หรืออุปนิสัยใจคอที่มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้  แก้ไขได้ยาก  เช่น
  1. ความเชื่อมั่นในตนเอง  
  2. ความกระตือรือร้น
  3. ความรอบรู้   
  4. ความคิดริเริ่ม
  5. ความจริงใจ   
  6. ไหวพริบปฏิภาณ
  7. ความรับผิดชอบ   
  8. ความจำ
  9. อารมณ์ขัน
  • การจำแนกบุคลิกภาพ 4 แบบ (Harris 1973)
การยอมรับตนเอง หน้าต่างของ  Johari’s windor ,1955ตนเองรู้
                ในแต่ละครั้งที่เราต้องพบเจอผู้คนในองค์กรหรือนอกองค์กร การสนทนา การแสดงความคิดเห็น หรือการพูดให้ความรู้ การนำเสนองานต่างๆ นั้น ควรประกอบด้วย 3 ส่วน คือ เนื้อหาสาระของคำพูด 7% น้ำเสียง 38% กิริยาท่าทาง (บุคลิกภาพ) 55%
  1. การใช้สายตา การมอง การสบสายตาขณะพูด
  2. การแต่งกาย
  3. ภาษาพูด จังหวะการพูด ระดับเสียง
  4. การเดิน / การนั่ง
  5. การแสดงออกและท่าทาง การไหว้ การรับไหว้
  6. ความสะอาด
  7. สุขภาพต้องดี คนป่วยคงไม่มีใครอยากเข้าใกล้
  • สาเหตุที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพ คือความท้อถอย
          บุคลิกภาพที่ไม่สร้างสรรค์และอยู่ภายในตัวตนแล้วทำให้ความเป็นคนๆ นั้นไม่สมบูรณ์ ได้แก่ความท้อถอยแม้ว่าเป็นประโยคสั้นๆ แต่ถ้าอาการนี้ถ้าเกิดขึ้นกับใครแล้ว อาการนี้จะเข้ามาทำลายความสมดุลในตัวเรา เข้ามาแทรกในความรู้สึกนึกคิดทำให้พลังและศักยภาพของเราลดน้อยลงกว่าครึ่ง ในเรื่องความท้อถอยมักเกิดขึ้นกับบุคคลที่อยู่ในช่วงอายุ 20-40 ปี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าบุคคลในช่วงอายุอื่นจะไม่มีความท้อ บางท่านอาจเกิดอาการท้อเป็นช่วงๆ บางท่านโชคดีไม่รู้จักความท้อ
ความท้อถอยสามารถสังเกตได้จากอาการ 3 ลักษณะ คือ
  1. ลักษณะของความท้อถอยทางด้านอารมณ์ หรือ ความอ่อนล้าทางอารมณ์ ได้แก่ความรู้สึกเบื่อหน่าย ความอ่อนล้า หมดเรี่ยวหมดแรง เกิดความเครียด ความคับข้องใจ ไม่สบอารมณ์  
  2. ลักษณะของความท้อถอยที่เกิดจากสัมพันธภาพกับบุคคลอื่น ได้แก่ ลักษณะของบุคคลที่ไม่สนใจในพฤติกรรมของใครๆ ไม่ยินดียินร้าย ใครจะทักก็ช่าง ใครไม่ทักก็ช่าง ไม่ใส่ใจพฤติกรรมของคนอื่น มีเจตคติและแนวคิดที่ไม่ดีต่อคนอื่น มองคนอื่นในแง่ร้าย
  3. ลักษณะของความท้อถอยที่เกิดจากการไม่ประสบความสำเร็จในการทำงานของคนบางท่านอาจจะรู้สึกเองว่าตนเองไร้ความสามารถ การทำงานล้มเหลว งานไม่สมกับที่ตั้งใจไว้ บุคคลกลุ่มนี้จะมองคุณค่าของตนเองต่ำ
  • สาเหตุของความท้อถอย 
  1. ด้านบุคลิกภาพ บุคลิกภาพที่พึ่งพาคนอื่น บุคลิกภาพที่ขาดความอดทน ขาดความอดกลั้น  บุคลิกภาพที่เชื่อมั่นตนเองสูง บุคลิกภาพที่มีความรับรู้ตนเองต่ำ จิตใจไม่มั่นคง ไม่มั่นใจในทุกเรื่อง 
  2. ด้านอายุ บุคคลที่มีอายุน้อย ความท้อถอย มีมากกว่าบุคคลที่สูงอายุ ทั้งนี้เพราะความท้อถอยมีความสัมพันธ์กับประสบการณ์ วุฒิภาวะ การรู้จักชีวิตมากขึ้น 
  3. ด้านสถานภาพการสมรส ความท้อมักเกิดกับคนโสดมากกว่าคนสมรสแล้ว ความท้อยังสัมพันธ์กับความเหงา คนโสดทั้งหญิงและชาย ถ้าเกิดอาการท้อถอย บุคคลในกลุ่มนี่จะเกิดอาการนานและค่อนข้างรุนแรง 
  4. ด้านการปฏิบัติงานในความรับผิดชอบ เริ่มตั้งแต่สองปีแรกของการทำงานบุคคลจะเกิดความท้อได้ง่าย ยิ่งปฏิบัติงานแบบไม่มีใครช่วยใคร บุคคลยิ่งเกิดอาการท้อมากขึ้น 
แนวทางและวิธีการในการแก้ไขอาการท้อถอย  
  1. ทุกสิ่งทุกอย่างต้องแก้ไขที่ตัวเราเองเท่านั้น
  2. อย่าเป็นคนตั้งความหวัง ความปรารถนาที่สูงสุดเอื้อม
  3. สร้างเจคติเรื่องงานใหม่ให้ท่านคิดว่า “งานคือชีวิต ชีวิตคืองานบันดาลสุขทำงานให้สนุกเป็นสุขเมื่อทำงาน”
  4. มองหาจุดมุ่งหมายในชีวิตใหม่
  • ครูกับการพัฒนาตน
        การพัฒนาตนเป็นการที่บุคคลพยายามหาวิธีการที่เหมาะสมเพื่อให้ตนเองก้าวไปสู่การเป็นผู้มีบุคลิกภาพที่สมบูรณ์ ในขอบเขต   ที่มีความพอเหมาะพอดีกับความสามารถของผู้นั้น และเหมาะสมกับค่านิยมของสังคม เพื่อการมีชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข การพัฒนาคนนับเป็นสิ่งสำคัญในอันที่จะนำไปสู่การพัฒนาอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นครู

ครูควรพัฒนาตนเองใน 2 ลักษณะคือ
  1. การพัฒนาตนเองในด้านวิชาชีพ
   - การพัฒนาในด้านความรู้
   - การพัฒนาในด้านเทคโนโลยี
   - การพัฒนาในด้านคุณลักษณะกับเจตคติ
  2. การพัฒนาตนในด้านการเป็นสมาชิกของสังคม
   - การรู้จักตนเองและการเข้าใจตนเอง
   - การสำรวจตนเอง
   - การปรับปรุงตนเองในด้าน การพัฒนาบุคลิกภาพภายนอก – ภายใน การพัฒนาลักษณะนิสัยที่ดี การพัฒนามนุษยสัมพันธ์ การพัฒนาการเรียนรู้
  • การพัฒนาตนเองควรประกอบด้วยขั้นตอน ดังนี้
1. พยายามค้นพบตนเอง ทำความรู้จักตนเอง โดยหมั่นตรวจตราพิจารณาตนเองถึงอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด ตลอดจนการกระทำของตนเอง นอกจากนี้ควรสนใจรับฟังข้อคิดเห็น หรือคำวิจารณ์ของบุคคลอื่นที่มีต่อตัวเราบ้าง ต่อจากนั้นให้หันกลับมาพิจารณาตนเองในแง่มุมเหล่านี้
  1. ตัวของเราที่เป็นจริงเป็นอย่างไร
  2. ตัวของเราที่รับรู้เป็นอย่างไร
  3. ตัวของเราที่เราอยากจะเป็น เป็นอย่างไร
2.  ยอมรับตัวเอง เมื่อได้พิจารณาตนเองแล้ว รู้จักตนเองแล้ว เรายอมรับได้ไหมว่า สิ่งนั้นคือตัวเรา การยอมรับตนเองนั้น ควรจะยอมรับทั้งในส่วนที่เป็นจุดอ่อน และจุดเด่นไปด้วยกัน มิใช้จะยอมรับแต่จุดเด่น แล้วไม่สนใจจุดอ่อนโดยไม่ยอมรับจุดอ่อน
3.  ท้ายที่สุด คือ การหาทางพัฒนาจุดอ่อนหรือส่วนที่เราไม่พอใจที่อยู่ในตัวเรา (bed me) ให้ดีขึ้น (good me)
  • แนวทางในการพัฒนาบุคลิกภาพ
  การรักษาสุขภาพอนามัย
     -  ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
      -  รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
      -  ควบคุมน้ำหนักไม่ให้เพิ่มหรือลดผิดปกติ
      -  ละเว้นการสูบบุหรี่หรือยาเสพติดให้โทษทุกชนิด
      -  ไม่ดื่มสิ่งของที่มีแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีน
      -  พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ วันละ 7-8 ชม.
 การดูแลร่างกาย
    -  รักษาความสะอาดในช่องปากและฟัน
    -  ดูแลรักษาเส้นผมและทรงผมให้เรียบร้อยทั้งด้านความสะอาดและรูปทรง
    -  โกนหนวดเคราให้เกลี้ยงเกลา ตัดและขริบให้เรียบร้อย
    -  รักษาผิวพรรณให้สะอาดสดชื่นอยู่เสมอ อย่าให้ผิวแห้งกร้าน
    -  รักษากลิ่นตัว  
    -  รู้จักการแต่งหน้าแต่พองาม
 การแต่งกาย
     -  สวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาด ซักรีดให้เรียบ
     -  สีสันไม่ฉูดฉาดควรเลือกสีให้เหมาะสมกับรูปร่างและผิวพรรณของตนเอง
     -  กระเป๋าถือและรองเท้า ควรใช้หนังที่มีคุณภาพดี สีเรียบ สำรวจส้นรองเท้าจัดการซ่อมแซมให้เรียบร้อย
     -  แต่งหน้าให้แนบเนียน ไม่แต่งเข้มผิดธรรมชาติ เลือกใช้เครื่องสำอางที่มีคุณภาพดี
     -  เล็บและการทาเล็บ ไม่ควรไว้เล็บยาวจนเกินไป ควรเลือกสีกลาง ๆ อย่าปล่อยให้สีถลอกจะไม่น่าดู
     -  ผม หมั่นสระให้สะอาด  อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง  แปรงหวีให้เรียบร้อย เลือกทรงผมที่รับกับใบหน้า
     -  เครื่องประดับ ควรใช้เพื่อเสริมการแต่งกายให้ดูดีขึ้น แต่ไม่ควรใช้เครื่องประดับมากจนเกินไปจนดูสะดุดตารกรุงรังไปหมด
     -  ควรแต่งกายให้เหมาะสมกับสภาพภูมิศาสตร์และวัฒนธรรม
     -  ควรแต่งกายให้เหมาะสมกับกาลเทศะ
  อารมณ์
        รู้จักควบคุมอารมณ์ ไม่ปล่อยอารมณ์ไปตามใจตนเอง  คนที่ควบคุมอารมณ์ตนเองได้จะได้เปรียบและจะเอาชนะเหตุการณ์ต่าง ๆที่เกิดขึ้นได้  ในการปฏิบัติงานเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องมีเหตุการณ์มากระทบกระเทือนอารมณ์กันอยู่เสมอ ฉะนั้น บุคคลใดที่ต้องการจะพัฒนาบุคลิกภาพของตนให้ดีขึ้นจะต้องเป็นคนรู้จักอดทนใจเย็นเมื่อมีเหตุการณ์ที่ไม่ถูกใจเกิดขึ้น
ความเชื่อมั่นในตนเอง
      -  ยอมรับในความสามารถของตนเอง
      -  อย่าเล็งผลเลิศในการทำงานจนเกินไป
      -  อย่าถือคติว่าการทำงานสิ่งใดเมื่อทำแล้วต้องดีที่สุด
      -  อย่านำความเก่งของผู้อื่นมาทับถมตนเอง
      -  หมั่นฝึกจิตใจตนเองให้ชนะความกลัวให้ได้
  • การพัฒนาบุคลิกภาพด้านความรู้สึกนึกคิด
  ความรู้สึกนึกคิดของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน ถ้ามีความรู้สึกนึกคิดในด้านดี
  ไม่มองคนในแง่ร้ายจิตใจก็เป็นสุข ไม่มีความกังวล ดังนั้นจึงควรพัฒนาบุคลิกภาพด้านความรู้สึกนึกคิดดังนี้
  1. มีความเชื่อมั่นในตนเองในการกระทำในสิ่งต่าง ๆ
  2. มีความซื่อสัตย์ กระทำตนให้ผู้อื่นเชื่อถือเรา แล้วความไว้วางใจจะตามมา มีเรื่องสำคัญเขาก็จะให้เราทำ
  3. มีความสามารถที่จะทำสิ่งเหล่านั้น ให้เหมาะสมกับผู้ที่มอบหมายไว้วางใจให้เราทำ
  4. มีความกระตือรือร้น ที่อยากจะทำ เตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ
  5. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ รู้จักปรับปรุงงานอยู่เสมอ
  6. มีความรับผิดชอบ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามต้องมีความห่วงใยจะต้องทำให้เสร็จทันตามกำหนดเวลา
  7. มีความรอบรู้                     
  8. ห่วงตัวเอง เติมชีวิตให้กับตัวเอง
  9. มีความจำแม่น                  
  10. วางตัวเหมาะสมกับกาลเทศะ
  •  การพัฒนาบุคลิกภาพด้านกายบริหารทรวดทรง
        องค์ประกอบของทรวดทรง ขึ้นอยู่กับกลไกของการเคลื่อนไหวของร่างกายและโครงสร้างของร่างกายไม่ว่าหญิงหรือชายก็ชอบที่จะมีรูปร่างงามทั้งนั้น ผู้ชายก็ต้องการมีรูปร่างสมาร์ท ผู้หญิงก็ต้องการมีเอวบาง ร่างน้อย มีสุขภาพดี การมีรูปร่างงาม สุขภาพดี เกิดจากการพัฒนาตัวเราเอง เราเป็นผู้วางแผนในชีวิตของเราเอง
       ทรวดทรงอาจไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต แต่ส่วนสัดและท่าทาง ทำให้คนทุกคนดูแตกต่างกันไป บุคลิกที่ไม่ดีแสดงว่าเจ้าของเรือนร่างขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง ถ้าได้เรียนรู้วิธีเสริมสร้างเสน่ห์ให้กับบุคลิกภาพของตนเองแล้ว จะไม่เพียงทำให้มีรูปร่างสง่างามเท่านั้น ยังสามารถทำให้การปฏิบัติงานเกิดความเชื่อมั่น  งานก็มีประสิทธิภาพอีกด้วย ดังนั้นจึงควรใช้เวลาในการบริหารทรวดทรงของตนเองเป็นประจำสม่ำเสมอ เพราะสุขภาพที่ดี และทรวดทรงที่งดงามอีกด้วย
  •  การปรับปรุงบุคลิกภาพภายใน
  1. การยอมรับความจริงเกี่ยวกับตนเอง 
  2. การปรับปรุงในส่วนที่จะปรับปรุงได้ 
  3. การใช้สิ่งอื่นๆ เพื่อส่งเสริมบุคลิกภาพ 
         การส่งเสริมบุคลิกภาพที่ดีควรส่งเสริมคุณภาพจิตสาธารณะมากำกับ เพื่อบุคคลจะได้ลดละความเห็นแก่ตนในระดับที่พอดำรงชีวิตอยู่ได้ เสียสละ เกื้อกูลคนอื่น เป็นผู้รับในบางโอกาสและเป็นผู้ให้ในบางโอกาส มีจิตใจที่ดีงาม มีร่างกายที่สะอาดสดใสก็เท่ากับว่าบุคคลได้ส่งเสริมหรือพัฒนาบุคลิกภาพแล้วนั่นเอง
  • การพัฒนาบุคลิกภาพด้านการเรียนรู้
ในโลกปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นครูจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเรียนรู้และเพิ่มพูนประสบการณ์ให้ตรงกับตนเองอยู่เสมอ เช่น
  1. การฟัง
  2. การอ่าน
  3. การเขียน
  4. การสังเกต
  5. การคิด
  6. การทดลอง



Apply(การประยุกต์ใช้)

  • สามรถนำเอาความรู้ที่ได้ไปปรับปรุงบุคลิกภาพของตนให้ดียิ่งขึ้นได้

Assessment(การประเมิน)
self :  มีการจดบันทึก
friend :  ตั้งใจเรียนมีการถามตอบ
Teacher :  เนื้อหาน่าสนใจ

วันพุธที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2561


บันทึกการเรียนรู้ ครั้งที่  9

วันพุธที่  14  มีนาคม พ.ศ. 2561
เวลา 08.30 - 11.30 น.

******สอบกลางภาควิชาการบริหารสถานศึกษาปฐมวัย******

วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2561


บันทึกการเรียนรู้ ครั้งที่  8

วันพุธที่  7  มีนาคม พ.ศ. 2561
เวลา 08.30 - 11.30 น.
Knowledge (ความรู้)

  • นำเสนอคำคมผู้บริหาร

นางสาวกษมา แดงฤทธิ์

นางสาวยุคลธร ศรียะลา

นางสาวณัฐนิชา พุทธรักษา

  • นำเสนองานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการบริหาร


  • ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย

        ประเด็นที่ 1 ศตวรรษที่ 21 เป็นยุคของเศรษฐกิจฐานความรู้ ที่มีความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว อันสืบเนื่องมาจากการใช้เทคโนโลยีเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลทุกภูมิภาคของโลกเข้าด้วยกัน กระแสการปรับเปลี่ยนทางสังคมที่เกิดขึ้นส่งผลต่อวิถีการดำรงชีพของสังคม
        ประเด็นที่  2  คุณภาพการศึกษาของประชากรเป็นปัจจัยบ่งชี้ความได้เปรียบเสียเปรียบในเชิงความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
        ประเด็นที่  3  การจัดการศึกษามีความจำเป็นต่อการพัฒนาคุณภาพของประชากร และสำคัญต่อการพัฒนาประเทศขณะที่สังคมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะพัฒนาคุณภาพของการจัดการศึกษาเพื่อให้มีศักยภาพสามารถที่จะแข่งขันกับนานาประเทศได้
        ประเด็นที่ 4 แนวคิดเกี่ยวกับประสิทธิผลของโรงเรียนเกิดจากความต้องการในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างเป็นระบบโดยมุ่งหวังให้เกิดความเสมอภาคของการให้บริการการศึกษาแก่เด็กไทยทุกคนมีความเท่าเทียมกันในคุณภาพของการจัดการศึกษาในโรงเรียน และลดความเหลื่อมล้ำในคุณภาพของผลผลิต
        ประเด็นที่ 5 การก้าวไปสู่ประชาคมอาเซียนโรงเรียนที่จะประสบผลสำเร็จเป็นโรงเรียนที่มีคุณภาพตามมาตรฐาน ซึ่งเป็นผลมาจากองค์ประกอบที่มีประสิทธิผล การเลือกใช้รูปแบบที่ดีที่สุดที่เหมาะสมที่สุดกับสถานการณ์ที่เกิดในขณะนั้น และการคิดค้นพัฒนารูปแบบการบริหารใหม่ ๆ ที่มีการแสดง หรืออธิบายให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบสำคัญ ๆ ที่ใช้เพื่อการบริหาร

  • วัตถุประสงค์ของการวิจัย

            1. เพื่อศึกษาองค์ประกอบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน
            2. เพื่อศึกษารูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน
            3. เพื่อตรวจสอบรูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน

  • ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

            1. สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีรูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลที่ชัดเจนและเป็นไปได้
            2. องค์ความรู้เกี่ยวกับการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียนที่สถานศึกษาอื่นสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้

  • ขอบเขตของการศึกษาวิจัย

            การวิจัยครั้งนี้ มุ่งศึกษารูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน จากการศึกษาค้นคว้าแนวคิด ทฤษฎี ตลอดจนเอกสาร และงานวิจัย
ต่าง ๆ ผู้วิจัยได้กำหนดขอบเขตเนื้อหา ดังนี้
        1. นโยบายด้านการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ประกอบด้วย (กระทรวงศึกษาธิการ, 2553)
1.1 นโยบายที่ 1 การเผยแพร่ความรู้ข้อมูลข่าวสาร และเจตคติที่ดีเกี่ยวกับอาเซียน
1.2 นโยบายที่ 2 การพัฒนาศักยภาพของนักเรียน นักศึกษา และประชาชนให้มีทักษะที่เหมาะสม
1.3 นโยบายที่ 3 การพัฒนามาตรฐานการศึกษา
1.4 นโยบายที่ 4 การเตรียมความพร้อมเพื่อเปิดเสรีการศึกษาในอาเซียน
        2. องค์ประกอบการบริหารสถานศึกษาที่มี สรุปได้ 9 หัวข้อสำคัญได้แก่
2.1 ภาวะผู้นำ
2.2 ความคาดหวังสูง
2.3 การมีวิสัยทัศน์ และเป้าหมายที่ชัดเจน
2.4 การพัฒนาหลักสูตรที่เน้นวิชาการ
2.5 กระบวนการจัดการเรียนการสอน
2.6 บรรยากาศสภาพแวดล้อมขององค์การที่เอื้อต่อการเรียนรู้
2.7 การนิเทศกำกับติดตามผล
2.8 การมีส่วนร่วมของชุมชน/ผู้ปกครอง และ
2.9 การพัฒนาวิชาชีพครู

  • ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย     

        ตัวแปรอิสระ/ตัวแปรต้น /ตัวจัดกระทำ
องค์ประกอบการบริหารสถานศึกษา 9 ประเด็นได้แก่ 1) ภาวะผู้นำ 2) ความคาดหวังสูง 3) การมีวิสัยทัศน์และ เป้าหมายที่ชัดเจน 4) การพัฒนาหลักสูตรที่เน้นวิชาการ 5) กระบวนการจัดการเรียนการสอน   6) บรรยากาศสภาพแวดล้อมขององค์การที่เอื้อต่อการเรียนรู้ 7) การนิเทศกำกับติดตามผล    8) การมีส่วนร่วมของชุมชน/ผู้ปกครอง และ 9) การพัฒนาวิชาชีพครู
        ตัวแปรตาม
รูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผล

  • นิยามศัพท์เฉพาะ

            การบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผล หมายถึง ความสามารถในการบริหารงานในโรงเรียนด้วยความเป็นมืออาชีพของครู และผู้บริหาร ซึ่งส่งผลต่อความสำเร็จของการบริหารงานของโรงเรียนทั้ง 4 งาน คือ

  1. การบริหารงานวิชาการ
  2. การบริหารงานงบประมาณ
  3. การบริหารงานบุคคล และ
  4. การบริหารงานทั่วไป


  • สมมุติฐานการวิจัย

เพื่อให้สอดคล้องกับข้อคำถามของการวิจัยผู้วิจัยจึงตั้งสมมุติฐานของการวิจัย ดังนี้

  1. องค์ประกอบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียนเป็นพหุองค์ประกอบ
  2. รูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียนเป็นพหุองค์ประกอบที่มีความสัมพันธ์กัน มีความเหมาะสม
  3. กลุ่มโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียนมีองค์ประกอบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผล ที่เด่นชัดแตกต่างกัน


  • แนวคิดทฤษฏีทางการบริหาร

แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการบริหารโรงเรียนที่มีประสิทธิผล
            Robbins (1999) เสนอว่าวิธีวัดประสิทธิผลขององค์การมีอยู่สี่วิธีด้วยกัน คือ 1) วัดจากความสามารถขององค์การในการบรรลุเป้าหมาย 2) วัดโดยอาศัยความคิดระบบ 3) วัดจากความสามารถขององค์การในการชนะใจผู้มีอิทธิผล และ4) วัดจากค่านิยมที่แตกต่างกันของสมาชิกองค์การ
            Edmonds (1979) ได้เสนอแนวคิดที่นำไปสู่ความเป็นโรงเรียนที่มีประสิทธิผลด้วยปัจจัย 5 ประการ คือ 1. ภาวะผู้นำที่แข็งแกร่งของผู้บริหาร 2. ความเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านทักษะพื้นฐาน 3. สภาพแวดล้อมของโรงเรียนที่สะอาดเรียบร้อยและปลอดภัย 4. ความคาดหวังของครูที่มีต่อนักเรียนในระดับสูง 5. การเฝ้าติดตามประเมินความก้าวหน้าของนักเรียนอย่างต่อเนื่อง
            Pierce (1991) ได้วิเคราะห์ลักษณะการบริหารโรงเรียนที่มีประสิทธิผล ในปี ค.ศ. 1991พบว่ามีลักษณะ ดังนี้1. การให้ความเคารพกับความหลากหลายทางวัฒนธรรม 2. การพัฒนาทรัพยากรบุคคลที่เน้นการสร้างครูที่ช่วยเหลือนักเรียนที่มีความแตกต่างทางวัฒนธรรม 3. หลักสูตรที่เน้นการ  บูรณาการและพัฒนาได้มากกว่าทักษะพื้นฐาน 4. การส่งเสริมให้นักเรียนเกิดความร่วมมือในการวางแผนกับครู 5. การมีส่วนร่วมในการดูแลนักเรียนระหว่างครูและผู้ปกครอง

  • วิธีดำเนินการวิจัย

ประชากร                     
            บุคลากรสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน ที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดให้เป็นโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน จำนวน 68 โรง ประกอบด้วยโรงเรียนประเภท Sister school จำนวน 30 โรง โรงเรียนประเภท Buffer school จำนวน 24 โรงและโรงเรียนประเภท ASEAN focus school จำนวน 14 โรง (กระทรวงศึกษาธิการ, 2553)
กลุ่มตัวอย่าง   
            ผู้อำนวยการโรงเรียน และรองผู้อำนวยการโรงเรียนหรือครูที่เป็นหัวหน้างานทั้งสี่งานในโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน ที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดให้เป็นโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียนจำนวน 68 โรง ประกอบด้วย โรงเรียนประเภท Sister school จำนวน 30 โรง โรงเรียนประเภทBuffer school จำนวน 24 โรง และโรงเรียนประเภท ASEAN focus school จำนวน 14 โรง (กระทรวงศึกษาธิการ, 2553) จำนวนทั้งสิ้น 340 คน

  • เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสอบถามจำแนกออกเป็นสามตอน มีรายละเอียด ดังนี้
ตอนที่ 1 ข้อมูลสถานภาพทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถามได้แก่ เพศ อายุ การศึกษา
            ตำแหน่งที่รับผิดชอบ มีลักษณะเป็นแบบตรวจสอบรายการ
ตอนที่ 2 เป็นคำถามเกี่ยวกับการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบ
            การพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน มีลักษณะเป็นแบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า (rating scale) ของลิเคิร์ท (1961) สอบถามระดับการปฏิบัติตามสภาพที่เป็นจริง 5 ระดับ ดังนี้
            ระดับ 5 หมายถึง การปฏิบัติตรงสภาพที่เป็นจริงมากที่สุด
            ระดับ 4 หมายถึง การปฏิบัติตรงสภาพที่เป็นจริงมาก
            ระดับ 3 หมายถึง การปฏิบัติตรงสภาพที่เป็นจริงปานกลาง
            ระดับ 2 หมายถึง การปฏิบัติตรงสภาพที่เป็นจริงน้อย

  • การดำเนินการวิจัย

ผู้วิจัยได้ดำเนินการตามขั้นตอน ดังนี้

  1. ขอหนังสือจากคณบดีบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในการเชิญผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือวิจัย หนังสือขอความอนุเคราะห์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อการทดลองแบบสอบถาม (try out) และหนังสือขอความอนุเคราะห์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลวิจัยประกอบการทำวิทยานิพนธ์
  2. เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการส่งแบบสอบถามไปยังตัวอย่างทางไปรษณีย์ และรอการตอบกลับทางไปรษณีย์
  3. ในกรณีที่ยังไม่ได้รับแบบสอบถามคืนตามเวลาที่กำหนด ผู้วิจัยได้ส่งแบบสอบถามไปให้ผู้บริหารโรงเรียนซ้ำอีก และ ขอความร่วมมือส่งคืนทางไปรษณีย์ จากการเก็บรวบรวมข้อมูลผู้วิจัยส่งแบบสอบถามจำนวน 340 ได้รับกลับคืนมา 308 ฉบับ เมื่อตรวจสอบความสมบูรณ์ของการตอบแบบสอบถามแล้วใช้ได้ทั้ง 308 ฉบับคิดเป็นร้อยละ 90.59 ผู้วิจัยจึงนำแบบสอบถามที่มีความสมบูรณ์ทั้ง 308 ฉบับมาทำการวิเคราะห์ข้อมูล


  • การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล

การวิจัยครั้งนี้ใช้สถิติวิเคราะห์ข้อมูลดังนี้
            การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณที่ได้จากแบบสอบถาม ผู้วิจัยทำการประมวลผลข้อมูลทางสถิติโดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์โปรแกรมสำเร็จรูป

  1. การวิเคราะห์ข้อมูลสถานภาพทั่วไปของแบบสอบถาม ประกอบด้วย เพศ อายุ วุฒิการศึกษา ตำแหน่งที่รับผิดชอบ และประสบการณ์ในการรับผิดชอบงาน โดยใช้ค่าความถี่ค่าร้อยละ
  2. ค่าสถิติพื้นฐานของตัวแปรในการวิจัย ใช้ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐานค่าความเบ้ ค่าความโด่ง และค่าความแปรปรวน
  3. การวิเคราะห์องค์ประกอบการบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน ด้วยวิธี factor analysis ประเภท exploratory factor analysis ที่หมุนแกนโดยวิธี orthogonal rotation สกัดปัจจัยของตัวแปรโดยวิธี principal componentsพิจารณาค่า eigenvalue (λ ) มากกว่า 1 เท่านั้น หากมีค่าน้อยกว่า 1 แสดงว่าปัจจัยนั้นมีรายละเอียดของข้อมูลน้อยกว่าตัวแปรใดตัวแปรหนึ่งเพียงตัวเดียว หรือเป็น 0 แสดงว่าปัจจัยนั้นไม่สามารถดึงรายละเอียดของข้อมูลจากตัวแปรได้เลย (กัลยา วานิชย์บัญชา, 2552)
  4. การวิเคราะห์รูปแบบองค์ประกอบบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียนด้วยวิธี one-way ANOVA ที่ระดับนัยสำคัญที่ 0.05 และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple regression Analysis) เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียนกับองค์ประกอบการบริหารสถานศึกษา ที่อาศัยความสัมพันธ์เชิงเส้นตรงระหว่างตัวแปรมาใช้ในการทำนาย(บุญชม ศรีสะอาด, 2547)
  5. การวิเคราะห์เพื่อตรวจสอบรูปแบบการจัดกลุ่มองค์ประกอบการบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน ด้วยวิธีการวิเคราะห์จำแนกกลุ่มโรงเรียนด้วยเทคนิค cluster analysis แบบ two-step cluster analysis ที่สามารถคำนวณหาจำนวนกลุ่มที่ต้องการแบ่งในกรณีที่มีประชากรจำนวนมากได้โดยอัตโนมัติโดยไม่ต้องกำหนดจำนวนกลุ่มก่อน แต่สามารถแบ่งจำนวนกลุ่มให้มีจำนวนกลุ่มสูงสุด คือ 15 กลุ่ม และต่ำสุด คือสองกลุ่ม และดูค่าบรรทัดฐานของ Schwarz’s Bayesian Criterion (BIC) หรือ Akaike’s Information Criterion (AIC) ที่ตารางผลลัพธ์ คือ เมื่อค่าดังกล่าวน้อยที่สุดจะได้กลุ่มที่เหมาะสม หรือดูจากค่าratio of distance measures ที่ตารางผลลัพธ์คือ เมื่อค่าดังกล่าวมากที่สุด จะได้กลุ่มที่เหมาะสม เช่นเดียวกัน (นำชัย ศุภฤกษ์ชัยสกุล, 2553)


  • สรุปผลการวิจัย

            จากผลการวิจัย สรุปได้ว่า รูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียนมีสองรูปแบบ คือ รูปแบบมุ่งเน้นการนิเทศ กับ  รูปแบบมุ่งเน้นเป้าหมาย สถานศึกษาสามารถที่จะนำไปใช้เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดนั้น สถานศึกษาต้องยึดหลักการกระจายอำนาจในการตัดสินใจโดยมุ่งไปที่การตัดสินใจร่วมกันในการบริหารจัดการศึกษาของโรงเรียน เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน และชุมชน จึงทำให้รูปแบบการบริหารโรงเรียนที่มีประสิทธิผลเป็นรูปแบบที่มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนเพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง

  • ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป

            ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจวิจัย และเกี่ยวข้องกับการวิจัยดังต่อไปนี้

  1. การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาข้อมูลจากตัวอย่างที่เป็นผู้บริหารสถานศึกษา ควรมีการศึกษากับตัวอย่างอื่นด้วย เช่น ตัวอย่างที่เป็นครูผู้สอน นักเรียน ผู้ปกครอง คณะกรรมการสถานศึกษาร่วมด้วย เพื่อให้ครอบคลุมตัวอย่างมากยิ่งขึ้น
  2. ควรศึกษาวิจัยในการนำรูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียนไปทดลองใช้ในการบริหารงานของโรงเรียนเพื่อสรุปภาพรวมของรูปแบบและความถูกต้องเหมาะสมของแต่ละองค์ประกอบ
  3. ควรมีการศึกษาวิจัยถึงคุณลักษณะ หรือตัวบ่งชี้ของการบริหารโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาประสิทธิภาพของโรงเรียน
  4. ควรศึกษาวิจัยถึงสภาพปัญหา หรืออุปสรรค ของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน เพื่อจะได้เป็นข้อมูลในการพัฒนาโรงเรียนให้มีประสิทธิภาพต่อไป


  • สะท้อนองค์ความรู้ที่ได้จากวิจัย

            ได้รับความรู้ในการทำวิจัย และขั้นตอนการดำเนินการ เกี่ยวกับองค์ประกอบและรูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งมีองค์ประกอบต่างๆ เช่น การตั้งวิสัยทัศน์และเป้าหมาชัดเจน การมีภาวะผู้นำ จัดหลักสูตรที่เน้นวิชาการ การพัฒนาวิชาชีพครูและให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วม และนอกจากนี้สถานศึกษาต้องยึดการกระจายอำนาจเพื่อให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมอีกด้วย
            มีกระบวนการการมีส่วนร่วมในการทำงาน พัฒนาบุคลากร โดยเฉพาะติดตามการปฏิบัติงานของบุคลากรอย่างใกล้ชิด เพื่อวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งและสิ่งที่ควรพัฒนาของบุคลากรแต่ละคน  สนับสนุนให้บุคลากรแสวงหา แลกเปลี่ยนความรู้ เพิ่มทักษะความชำนาญในการปฏิบัติงานได้รับการยอมรับจากชุมชน จัดสภาพแวดล้อมในการทำงานให้ น่าดูน่าอยู่ น่าทำงาน ประสานงาน และแสวงหาความร่วมมือจากทุกภาคส่วน นำมาใช้ในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียน วางแผนการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้พร้อมกับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน







Apply(การประยุกต์ใช้)

  • สามารถนำงานวิจัยไปปรับใช้กับการทำวิจัยและการบิหารสถานศึกษาในอนาคตได้

Assessment(การประเมิน)
self : สามารถนำเสนอได้  มีการเตรียมตัว
friend :  มีการเตรียมความพร้อมมาอย่างดี
Teacher :  มีข้อเสนอแนะและอธิบายเพิ่มเติม

บันทึกการเรียนรู้ ครั้งที่  16 วันพุธที่  25  เมษายน  พ.ศ. 2561 เวลา 08.30 - 11.30 น. Knowledge (ความรู้) แจกรางวัลเด็กดี นำเสนอ...