วันพุธที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2561


บันทึกการเรียนรู้ ครั้งที่  3

วันพุธที่  31 มกราคม พ.ศ. 2561
เวลา 08.30 - 11.30 น.
Knowledge (ความรู้)

  • นำเสนอคำคมเกี่ยวกับผู้บริหาร

นางสาวภัทรวรรณ นิยมพงษ์

นางสาวชื่นนภา เพิ่มพูล

นางสาวปฐมพร จันวิมล

  • บทบาทของผู้บริหาร ผู้นำในยุคโลกาภิวัตน์

เมื่อกล่าวถึงผู้นำ คนส่วนใหญ่จะคิดถึงภาพของผู้ที่มีอำนาจ มีตำแหน่งใหญ่โต มีอิทธิพล ต่อผู้อื่น ผู้นำที่ยิ่งใหญ่สามารถสั่งการได้ หรือเดินตามในทิศทางที่ผู้นำก้าวเดินหรือกำหนดให้ ผู้คนเกรงกลัว
นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันในการบริหาร ผู้นำยังคงเป็นความคาดหวังสูงสุดในการแบกรับภาระ นำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จ แต่ทว่า บทบาทผู้นำในยุคของพระนเรศวรมหาราชกับผู้นำของวันนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะในโลกของธุรกิจ หากผู้นำคนใดยังผูกขาดการตัดสินใจ ไม่ยอมสร้างการมีส่วนร่วม ก็ยากที่จะนำพาองค์กรหรือประเทศอยู่รอดได้อย่างยั่งยืน และที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ ผู้นำยุคนี้ต้องทำงานเชิงรุกเพื่อสร้างความได้เปรียบอยู่เสมอ

  • ความรู้เกี่ยวกับผู้นำ 
  • ความหมายและประเภทของผู้นำ 

ผู้นำ (Leader) หมายถึง บุคคลที่มีศิลป บุคลิกภาพ ความสามารถ เหนือบุคคลทั่วไป สามารถชักจูงให้ผู้อื่นปฏิบัติตามที่ต้องการได้ ส่วนความเป็นผู้นำ (Leadership) เป็นกระบวนการที่มีอิทธิพลต่อกลุ่ม เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ผู้บริหารทุกคนควรเป็นผู้นำ และมีภาวะผู้นำ แต่ผู้นำไม่สามารถเป็นผู้บริหารที่ดีได้ทุกคน เพราะผู้บริหารต้องมีทักษะ มีความสามารถในหน้าที่ของผู้บริหารด้วย

  • ประเภทของผู้นำ 

1. ผู้นำตามอำนาจหน้าที่ เป็นผู้นำโดยอาศัยอำนาจหน้าที่ (Authority) และมีอำนาจบารมี (Power) เป็นเครื่องมือ มีลักษณะที่เป็นทางการ (Formal) และไม่เป็นทางการ (Informal) เกิดพลังร่วมของกลุ่มในการดำเนินงานเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ อำนาจนี้ได้มาจาก กฎหมาย กฎระเบียบ หรือขนบธรรมเนียม ในการปฏิบัติ จำแนกผู้นำประเภทนี้ออกเป็น 3 แบบ คือ 1 ผู้นำแบบใช้พระเดช 2  ผู้นำแบบใช้พระคุณ  3  ผู้นำแบบพ่อพระ 
       2.  ผู้นำตามการใช้อำนาจ  ผู้นำแบบเผด็จการ   (Autocratic Leadership) หรือ อัตนิยม คือใช้อำนาจต่าง ๆ ที่มีอยู่ในการสั่งการแบบเผด็จการโดยรวบอำนาจ ไม่ให้โอกาสแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น   ตั้งตัวเป็นผู้บงการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเชื่อฟังโดยเด็ดขาด ปฏิบัติการแบบนี้เรียกว่า One Man Show อยู่ตลอดเวลาโดยไม่คำนึงถึงจิตใจของผู้ปฏิบัติงาน เช่น      ฮิตเลอร์ 
       3.  ผู้นำตามบทบาทที่แสดงออก  
        จำแนกเป็น  3 แบบ คือ
        3.1  ผู้นำแบบบิดา-มารดา (Parental Leadership) ผู้นำแบบนี้ ปฏิบัติตนเหมือนพ่อ-แม่ คือทำตนเป็นพ่อแม่เห็น ผู้อื่นเป็นเด็ก อาจจะแสดงออกมาในบทบาทของพ่อแม่ที่อบอุ่น ใจดี ให้กำลังใจ   หรืออาจแสดงออกตรงกันข้ามในลักษณะการตำหนิติเตียนวิพากษ์   วิจารณ์   คาดโทษ   แสดงอำนาจ
ประเภทของผู้นำ (ต่อ)
3.2  ผู้นำแบบนักการเมือง  (Manipulater Leadership) ผู้นำแบบนี้พยายามสะสมและใช้อำนาจ โดยอาศัยความรอบรู้และตำแหน่งหน้าที่การงานของคนอื่นมาแอบอ้างเพื่อให้ตนได้มีความสำคัญและเข้ากับสถานการณ์นั้น ๆ ได้ ผู้นำแบบนี้เข้าทำนองว่ายืมมือ ของผู้บังคับบัญชาของผู้นำแบบนี้อีกชั้นหนึ่ง  โดยเสนอขอให้สั่งการเพื่อประโยชน์แก่การสร้างอิทธิให้แก่ตนเอง
ประเภทของผู้นำ (ต่อ)
3.3  ผู้นำแบบผู้เชี่ยวชาญ  (Expert Leadership) ผู้นำแบบนี้เกือบจะเรียกว่าไม่ได้เป็นผู้นำตามความหมายทางการบริหาร เพราะมีหน้าที่ให้คำปรึกษาแนะนำแก่ Staff  ผู้นำแบบนี้มักเป็นผู้เชี่ยวชาญและมีความรู้เฉพาะอย่าง เช่น คุณหมอพรทิพย์ มีความเชี่ยวชาญในการตรวจ DNAถ้าพิจารณาจากบุคลิกภาพอีริก เบิร์น จิตแพทย์ชาวอเมริกัน ได้วิเคราะห์โครงสร้างของบุคลิกภาพของคนว่ามีอยู่ 3 องค์ประกอบ  คือภาวะของความเป็นเด็ก (Child  egostate )  ภาวะของการเป็นผู้ใหญ่ (Adult egostate ) และภาวะของความเป็นผู้ปกครอง  (Parents  egostate)  ก็จะมองผู้นำได้เป็น 3 แบบ คือภาวะความเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ พ่อแม่ ในแบบผู้นำ
  • คุณสมบัติของผู้นำ
ผู้ที่จะเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ได้ จะต้องเป็นมาตั้งแต่เกิด ไม่สามารถพัฒนาขึ้นมาภายหลังได้ (Leader are bone, not made)
คุณสมบัติพื้นฐานที่ทำให้ผู้นำแตกต่างจากบุคคลทั่วไป
1. ความมุ่งมั่น (drive)
2. แรงจูงใจในการเป็นผู้นำ (Leadership Motivation)
3. ความซื่อสัตย์ (Integrity)
4. ความเฉลียวฉลาด (Intelligence)
5. ความมั่นใจในตัวเอง (Self-confidence)
6. ความรอบรู้ในสิ่งที่ตนเองทำ (Knowledge of the Business)
  • สรุป คุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นผู้นำที่ดีได้ ดังนี้ คือ
1. มีความเฉลียวฉลาด      
2. มีการศึกษาอบรมดี     
3. มีความเชื่อมั่นใจตนเอง    
4. เป็นคนมีเหตุผลดี      
5. มีประสบการณ์ในการปกครองบังคับบัญชาเป็นอย่างดี     
6. มีชื่อเสียงเกียรติคุณ   
7. สามารถเข้ากับคนทุกชั้นวรรณะได้เป็นอย่างดี   
8. มีสุขภาพอนามัยดี   
9. มีความสามารถเหนือระดับความสามารถของบุคคลธรรมดา 
10 มีความรู้เกี่ยวกับงานทั่ว ๆ ไปขององค์กร หรือหน่วยงานที่ตนปฏิบัติอยู่โดยเฉพาะ 
11. มีความสามารถเผชิญปัญหาเฉพาะหน้า ที่จะเกิดขึ้นในขณะปฏิบัติงานให้ได้ทันท่วงที     
12. มีความสามารถคาดการณ์ 
  • ภาวะผู้นำ (Leadership)
ภาวะผู้นำ กระบวนการหรือพฤติกรรมการใช้อิทธิพลเพื่อควบคุม สั่งการ เกลี้ยกล่อม จูงใจ ให้ผู้ตามหรือกลุ่ม ปฏิบัติตามเพื่อการบรรลุเป้าหมาย หรือความเป็นผู้นำนั้นเอง คุณสมบัติของผู้นำมีหลายอย่าง หลายด้าน ผู้นำจะต้องมีความสามารถในการปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นให้ถูกต้องและได้ผลดี โดยมีองค์ประกอบดังนี้ 
                1. ตัวผู้นำ 2. ผู้ตาม 
                3. จุดหมาย 4. หลักการและวิธีการ 
                5. สิ่งที่จะทำ 6. สถานการณ์ 
  • ลักษณะและบทบาทของผู้นำ 
  ผู้นำจะนำไปในทิศทางที่ถูกต้องเสมอ ดังนั้น คนที่เป็นผู้นำที่เข้มแข็ง ก็อาจจะไม่ใช่ผู้จัดการ หรือบริหารที่ดีได้ หรือผู้บริหาร-ผู้จัดการที่ดี ก็อาจไม่ใช่ผู้นำที่ดีก็ได้ ดังนั้น ถ้าเป็นไปได้ องค์การหนึ่งองค์การใดที่ต้องการประสบความสำเร็จ ก็ย่อมต้องการผู้บริหาร หรือผู้จัดการที่มีลักษณะเป็นผู้นำดังนี้
  1. ต้องมีความฉลาด (Intelligence) 
  2. ต้องมีวุฒิภาวะทางสังคมและใจกว้าง (Social Maturity & Achievement Drive)
  3. ต้องมีแรงจูงใจภายใน (Inner Motivation) 
  4. ต้องมีเจตคติที่ดีเกี่ยวกับมนุษยสัมพันธ์ (Human Relations Attitudes) 
  • ลักษณะของผู้นำในทศวรรษหน้า 
  1. เป็นผู้บริหารที่ไม่มากเกินไปในทางใดทางหนึ่ง คือ ไม่ใช่ผู้นำที่มุ่งแต่งานอย่างเดียว หรือมุ่งที่คนอย่างเดียว 
  2. ผู้บริหารเน้นการสร้างให้ผู้ปฏิบัติงานทุกคนมีความเป็นเลิศในทุกด้าน 
  3. วิธีการแก้ปัญหาของผู้นำจะใช้ผู้ปฏิบัติงานแก้เอง 
  4. ผู้นำจะมอบอำนาจ  จนพอที่ผู้ปฏิบัติงานสามารถใช้อำนาจนั้นให้งานสำเร็จในตัว 
  5. ผู้นำเน้นคุณสมบัติของผู้ปฏิบัติงานที่สามารถทำงานเป็นทีมได้อย่างดี 
  • บทบาทหน้าที่ของผู้นำ
  1. ชี้แนะ ให้คำปรึกษา กำกับดูแล (Coaching) 
  2. เปลี่ยนทัศนคติลึก ๆ ในตัวคน 
  3.  ดึงศักยภาพที่มีอยู่ โดยไม่ต้องเอาความรู้ข้างนอกมามากนัก 
  4. ทำให้สถานที่ทำงานเป็นที่รักของพนักงาน
  5. Full fill Basic Need ให้คนในองค์การ เช่น ให้ตำแหน่ง 
  6. ดึงคนให้หลุดพ้นจากความเห็นแก่ตัว ทัศนคติต้องเปลี่ยน 
       สรุป ผู้นำยุคใหม่ ก้าวไกลสู่สากล จึงจำเป็นต้องเป็นผู้มีความรู้ ความคิดดี มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีวิสัยทัศน์ สามารถคิดคาดการณ์ล่วงหน้า มีความมุ่งมั่น มีจิตใจดีงาน (business mind, social heart) พร้อมที่จะรับฟัง ยอมรับ และใส่ใจผู้อื่น มีความฉลาดทางความคิดปัญญา และความฉลาดทางอารมณ์ รู้เท่าทันอารมณ์ จัดการกับอารมณ์ และจูงใจ ทั้งตนเองและผู้อื่นให้มีจิตใจร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว เพื่อร่วมกันทำงานได้ด้วยความเต็มใจเพื่อนำองค์กรไปสู่ความเจริญก้าวหน้าที่ยั่งยืน
ผู้นำจึงควรเป็นผู้  ที่หัวใหญ่ (Head) ใจโต (Heart) มือกว้าง (Hand) และร่างสมาร์ท (Health)
  • ความรู้เกี่ยวกับผู้บริหาร 
ผู้บริหาร หรือ ผู้จัดการ  เป็นสมาชิกในองค์กร  แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่ทำงานในองค์กรจะเป็นผู้บริหารทุกคน  สมาชิกในองค์กรขนาดใหญ่แบ่งเป็น 2 ประเภท   คือ ผู้ปฏิบัติงานกับผู้บริหาร ในองค์การนั้นผู้บริหารต่าง ๆ อาจมีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน เช่น  ผู้บริหารระดับล่างมักจะใช้ชื่อว่า  Supervisor  ถ้าในโรงงานอุตสาหกรรมจะเรียกว่า  Foreman   (หัวหน้างาน)   ส่วนผู้บริหารระดับกลางก็จะมีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน  เช่น  ผู้จัดการโรงงาน ผู้จัดการแผนก หัวหน้าหน่วย  คณบดี  ผู้บริหารระดับสูงขององค์กร  รับผิดชอบในด้านนโยบาย กลยุทธ์  และตัดสินใจนั้น  ได้แก่ รองประธาน ประธาน  ผู้อำนวยการ อธิการประธานบอร์ด CEO
  • ผู้บริหารแบ่งออกเป็น 5 ประเภท คือ 
1.  ผู้บริหารทำหน้าที่สั่งการ  (Line Manager) 
2.  ผู้บริหารทำหน้าที่ให้คำแนะนำ  (Staff  Manager) 
3.  ผู้บริหารทำหน้าที่สั่งการเฉพาะด้าน  (Functional Manager) 
4.  ผู้บริหารทั่วไป  (General Manager) 
5.  ผู้บริหาร (Administrator) 
  • คุณลักษณะของผู้บริหาร  นักบริหารมืออาชีพได้สรุปคุณลักษณะดังนี้ 
  1. Vision   เป็นผู้มีวิสัยทัศน์
  2. Charisma   เป็นผู้มีเสน่ห์  มีแรงดึงดูด  สร้างความเชื่อให้คนเกิดความศรัทธา คล้อยตามได้
  3. Integrity   มีความเป็นปึกแผ่น  เหนียวแน่น
  4. Self – Less   ทำอะไรไม่นึกถึงตนเองแต่คำนึงถึงส่วนรวม
  5. Courage       มีความกล้าหาญ
  6. Uncompromising   ไม่ยอมอ่อนในเรื่องบางเรื่อง
  7. High   Ground    ความมีมาตรฐานในตัวเองมีความซื่อสัตย์   และมีความโปร่งใสสูง
  8. Listening   รู้จักฟัง
  9.  Fairness    มีความยุติธรรมเที่ยงธรรม
  10. Sense     of   Time มีสติ   รู้ทันเหตุการณ์ว่าต้องทำอะไร
  11.  Know   Others Know   Oneself    เข้าใจคนอื่นและเข้าใจตนเอง หรือรู้เขารู้เรา
  12. Judgment   ยุติธรรม
  13. Inspiring    มีความมุ่งมั่น
  14. Faith    มีความเชื่อมั่น   ศรัทธา
  15. Institutional    มีความเป็นองค์กรนั้น
     คุณสมบัติที่ได้กล่าวมาทั้งหมดเป็นทั้ง ศาสตร์และศิลป์  ของผู้บริหารและผู้นำที่ต้องศึกษาเรียนรู้และพัฒนา  และปรับตัวให้เข้ากับสภาพเงื่อนไขต่าง ๆ ทันคน  ทันงาน  ทันการณ์  (กาล)  ทันเกมของการเปลี่ยนแปลงคนยุคเศรษฐกิจไร้พรมแดน 
  • บทบาททางการบริหาร (Management Roles) 
Henry Mintberg ได้ทำการศึกษาวิจัยพบว่าบทบาทของผู้บริหารที่สำคัญมี 10 อย่างประกอบด้วย 3 กลุ่มหลัก ซึ่งมีความสัมพันธ์ต่อกันอย่างมากบทบาท คือ
1.  บทบาทด้านมนุษย์สัมพันธ์  (Interpersonal  roles) ได้แก่ 
- ประธาน (Figurehead) เป็นบทบาทในการเป็นตัวแทน องค์กร  เป็นหัวหน้าในการปฏิบัติภารกิจประจำวันตามลักษณะทางสังคมและกฎหมาย เช่น อบรมสัมมนาต้อนรับลูกค้า หรือเป็นการสวมหัวโขนนั่นเอง
- ผู้นำ  (Leadership)  เป็นบทบาทที่ต้องรับผิดชอบในการจูงใจและชี้นำผู้ใต้บังคับบัญชา ให้ทำงานอย่างเต็มความสามารถ
- ผู้เชื่อมสัมพันธ์ไมตรี (Liasson) เป็นบทบาทในการสร้างและรักษาความสัมพันธ์กับองค์การภายนอก การสร้างเครือข่ายต่าง ๆ สร้างไมตรี ผูกมิตรอันดีกับบุคคลหรือกลุ่มต่าง ๆ ที่มีความสำคัญต่อองค์การ
2.  บทบาทด้านข่าวสาร (Informational roles) ได้แก่ 
- ผู้แสวงหาข้อมูลข่าวสาร (Monitor) 
- ผู้กระจายข้อมูลข่าวสาร (Disseminator) 
-  โฆษก  ประชาสัมพันธ์  (Spokesperson) 
3. บทบาทด้านการตัดสินใจ  (Decision roles) ได้แก่
-   ผู้ประกอบการ  (Entrepreneur) 
ผู้ขจัดความขัดแย้ง  (Disturbance Handler) 
ผู้จัดสรรทรัพยากร  (Resource Allocate) 
-   ผู้เจรจาต่อรอง  (Negotiator) 
  • กิจกรรมทางการบริหาร
Fred Luthans ได้เสนอกิจกรรมทางการบริหารมี 4 อย่างด้วยกัน คือ
  1. Traditional Management ได้แก่ การตัดสินใจ การวางแผน และการควบคุม
  2. Communication ได้แก่ การแลกเปลี่ยนแปลงข่าวสาร และการทำเอกสารต่าง ๆ 
  3. Human Resource Management ได้แก่ การจูงใจ การจัดวางระเบียบกฎเกณฑ์ การบริหาร ความขัดแย้ง  การจัดคนเข้าทำงานและการฝึกอบรม                               
  4. Networking ได้แก่ การเข้าสมาคม การเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง และการเข้าไปเกี่ยวข้องกับบุคคลภายนอก
  และจากการสำรวจ  ผู้บริหารที่มีประสิทธิผลกับผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จจะใช้เวลาในการทุ่มเทให้กับกิจกรรมดังกล่าวต่างกัน  คือผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จ (Successful Managers) ซึ่งก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้เร็วกว่าผู้อื่น จะเน้นกิจกรรมด้าน Networking มากที่สุดทำกิจกรรมด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์น้อยที่สุด ส่วนผู้บริหารที่ตั้งใจทำงานให้เกิดประสิทธิผล (Effective Manager) ซึ่งพิจารณาจากปริมาณและคุณภาพของการปฏิบัติงานเป็นเครื่องวัดนั้น จะเน้นด้านการติดต่อสื่อสาร (Communication) การบริหารทรัพยากรมนุษย์และงานด้านการบริหารตามลำดับ ส่วนกิจกรรมด้าน networking จะทำน้อยที่สุด 
Apply(การประยุกต์ใช้)

  • สามารถนำความรู้เกี่ยวกับบทบาทไปใช้ในการทำงานหรือการใช้ชีวิตร่วมกับผู้ได้

Assessment(การประเมิน)
self :  ตั้งใจเรียนมีการจดบันทึก
friend :  ให้ความสนใจเป็นอย่างดี
Teacher :  อาจารย์มีการอธิบายเพิ่มเติมและเตรียมการสอนมาอย่างดี

วันเสาร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2561


บันทึกการเรียนรู้ ครั้งที่  2

วันพุธที่  24  มกราคม พ.ศ. 2561
เวลา 08.30 - 11.30 น.
Knowledge (ความรู้)

  • ความหมายของการบริหารการศึกษา( Education Administration )

การบริหารการศึกษา แยกออกเป็น 2 คำ คือ การบริหาร และ การศึกษา 
ความหมายของ “การบริหาร” มีผู้ให้ความหมายไว้หลากหลาย ทั้งคล้ายๆกันและแตกต่างกัน คือ   
* การบริหาร คือ ศิลปะของการทำงานให้สำเร็จโดยใช้บุคคลอื่น
* การบริหาร คือ การทำงานของคณะบุคคล ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ที่ร่วมกันปฏิบัติการให้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน   
* การบริหาร คือ การที่บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปร่วมกันทำงาน เพื่อจุดประสงค์อย่างเดียวกัน   
** จากความหมายของ “การบริหาร” พอสรุปได้ว่า “การดำเนินงานของกลุ่มบุคคลเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ที่วางไว้”
  • ความสำคัญของการบริหารสถานศึกษา 
    สรุปได้ว่า การบริหารสถานศึกษาหรือการบริหารองค์กร  สิ่งที่ต้องตระหนักหรือให้ความสำคัญ คือการบริหารงานบุคคล เพราะบุคคลเป็นทรัพยากรที่มีค่าในองค์กร ที่สามารถพัฒนาศักยภาพได้ไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งจะทำให้องค์กรสามารถดำเนินกิจการต่างๆ ให้บรรลุวัตถุประสงค์ได้ ช่วยให้บุคคลที่ปฏิบัติงานในองค์กรมีขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงาน เกิดความจงรักภักดีต่อองค์กรที่ปฏิบัติงาน เสริมสร้างความมั่นคงแก่สังคมและประเทศชาติ นั้นหมายถึงผู้บริหารจะต้องมีความรู้เรื่องการบริหารเป็นอย่างดี
  • หลักการ แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับ การบริหารสถานศึกษา
    หลักการบริหารงานบุคคล
สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2545)  ให้แนวคิดในการบริหารและการจัดการที่ดี เพื่อมาปรับใช้ในบริบทขององค์กรทางการศึกษา ในประเด็กดังนี้
1. การกำหนดจุดหมาย ผลที่คาดหวัง หรือภาพความสำเร็จของการบริหารและการจัดการที่ดี (Goal / Expected / Output) 
2. กระบวนการบริหารและการจัดการที่ดี (Process)
3. ทรัพยากรในการบริหารจัดการที่ดี (Input / Resource)
4. ระบบควบคุม (Feedback / Control System)
5. ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการบริหารและการจัดการที่
  • การบริหารเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์  (Science and arts)
ศาสตร์ เพราะ มีหลักการ กฎเกณฑ์ และทฤษฏีที่เชื่อถือได้ เกิดจากการศึกษาค้นคว้าเชิงวิทยาสาสตร์
ศิลป์ เพราะ  ต้องทำงานกับคน ต้องเลือกใช้วิธีการให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ต้องฝึกให้ชำนาญ จึงต้องประยุกต์ใช้อย่างมีศิลป์
  • ทฤษฏีที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการสถานศึกษา

  • ทัศนะดั้งเดิม (Classical viewpoint)
การบริหารเชิงวิทยาศาสตร์ 
การจัดการเชิงบริหาร
การบริหารแบบราชการ

1. การบริหารเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific management)
       Frederick. W. Taylor (เทเลอร์) บิดาแห่งการบริหารเชิงวิทยาศาสตร์ ได้เสนอ หลัก 4 ประการ
1. ใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์ มีการแยกวิเคราะห์งาน
2. มีการวางแผนการทำงาน
3. คัดเลือกคนทำงาน
4. ใช้หลักการแบ่งงานกันทำระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายปฏิบัติ
2.ทฤษฏีการจัดการเชิงบริหาร (Administration management)
Henry Fayol : หลักการบริหาร 14 หลักการ และขั้นตอนการบริการ POCCC
Chester Barnard : ทฤษฏีการยอมรับอำนาจหน้าที่
Luther Gulick : ใช้หลักการของ Fayol 
    โดยใช้คำย่อว่า POSDCoRB ซึ่งเป็นหน้าที่ 7 ประการ
3.ทฤษฏีการบริหารแบบราชการ (Bureaucratic management)
Max Weber พัฒนาหลักการจัดการแบบราชการ
1. มีกฎระเบียบข้อบังคับเพื่อควบคุมการตัดสินใจ
2. ความไม่เป็นส่วนตัว
3. แบ่งงานกันทำตามความถนัด ความชำนาญเฉพาะทาง
4. มีโครงสร้างการบังคับบัญชา
5. ความเป็นอาชีพที่มั่นคง
6. มีอำนาจหน้าที่ในการตัดสินใจ โดยมีกฎระเบียบรองรับ
7. ความเป็นเหตุเป็นผล
ทั้ง 3 ทฤษฏี มีความเหมือนและแตกต่างกันอย่างไร
ความเหมือน
1. ด้านโครงสร้าง เน้นการแบ่งงานกันทำ การมีสายการบังคับบัญชา กำหนดหน้าที่ของการบริหาร เน้นหลักการ
2. ด้านผู้ปฏิบัติ เหมือนเครื่องจักร เน้นสิ่งจูงใจด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงในงาน ความต้องปรับตัวเข้ากับงาน
3. ด้านผู้นำ ให้ความสำคัญกับบทบาทผู้นำ เอกภาพ ระบบคุณธรรม เป้าหมายองค์กรสำคัญกว่าบุคคล
4. ด้านการตัดสินใจ เน้นความเป็นเหตุผล ประสิทธิภาพ กำไร
ความต่าง
Taylor : กำหนดวิธีการทำงานที่ดีที่สุด The one best way
Fayol   : เน้นหลักการ 14 หลักการ
Weber   : เน้นระเบียบข้อบังคับ มีเกณฑ์ประเมินผลทัศนะ
  • เชิงพฤติกรรม (Behavioral viewpoint)
ทฤษฏีพฤติกรรมระยะเริ่มแรก
การศึกษาที่ฮอว์ธอร์น
ความเคลื่อนไหวเชิงมนุษยสัมพันธ์

หลักพฤติกรรมศาสตร์
1. ทฤษฏีพฤติกรรมระยะเริ่มแรก (Early behavioral theories)
Hugo Munsterberg บิดาแห่งจิตวิทยาอุตสาหกรรม  ใช้หลักจิตวิทยาในการจำแนกคนงานให้เหมาะสมกับงาน
Mary Parker Follett นักปรัชญาแห่งเสรีภาพของบุคคล เน้นสภาพแวดล้อมในการทำงานและการมีส่วนร่วม
2. การศึกษาที่ฮอว์ธอร์น (Hawthorne studies)
    การทดลองของบริษัท เวสเทิร์น อิเล็กทริก ที่เมืองฮอว์ธร์น เพื่อศึกษาเกี่ยวกับผลของแสงไฟต่อประสิทธิภาพในการทำงาน
 ในช่วงท้ายของการทดลอง Elton Mayo ร่วมทำการทดลอง สรุปข้อค้นพบว่า
- เงินไม่ใช้สิ่งจูงใจสำคัญเพียงอย่างเดียว
- กลุ่มไม่เป็นทางการมีอิทธิพลต่อองค์การ
3. การเคลื่อนไหวเชิงมนุษยสัมพันธ์ (Human relation movement)
 Abraham Maslow :  มาสโลว์
ทฤษฏีลำดับขั้นความต้องการ
 Douglas McGregor : แมคเกรเกอร์
ทฤษฏี X และทฤษฏี Y
4. หลักพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral science approach)
 เป็นการนำผลการวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์ เพื่อพัฒนาทฤษฏีเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ จากศาสตร์ สาขาต่างๆ เมื่อนำไปทดสอบแล้วจะเสนอให้นักบริหารนำไปใช้ เช่น ทฤษฏีการตั้งเป้าหมาย ของ Locke
  •  ทัศนะเชิงปริมาณ (Quantitative viewpoint)
1.การบริหารศาสตร์ (Management science)
     มุ่งเพิ่มความมีประสิทธิผลในการตัดสินใจจากการใช้ตัวแบบคณิตศาสตร์และวิธีการเชิงสิติ ซึ่งแพร่หลายได้รวดเร็วเนื่องจากความก้าวหน้าทางคอมพิวเตอร์ที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างซับซ้อนมากขึ้น
 2. การบริหารปฏิบัติการ (Operation management)
  1. ยึดหลักการบริหารกระบวนการผลิตและให้บริการ
  2. กำหนดตารางการทำงาน
  3. วางแผนการผลิต
  4. การออกแบบอาคารสถานที่ การประกันคุณภาพ
  5. การใช้เทคนิคเครื่องมือต่างๆ เช่น เทคนิคการทำนายอนาคต
  6. การวิเคราะห์รายการ ตัวแบบเครือข่ายการทำงาน การวางแผนและควบคุมโครงการ
3. ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร (management Information System)
สารสนเทศบริหารศาสตร์ MIS เน้นการนำเอาระบบข้อมูลสารสนเทศโดยอาศัยเครื่องคอมพิวเตอร์มาใช้ในการบริหาร (Computer based information system : CBISs)
  • ทัศนะร่วมสมัย (Contemporary viewpoint)
1. ทฤษฏีเชิงระบบ (System theory)
ระบบแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ ระบบเปิดและระบบปิด ไม่ได้แยกออกจากกัน  มีลักษณะอยู่ 9 ประการ
  1. มีปัจจัยป้อนเข้าจากภายนอก
  2. มีกระบวนการที่ก่อให้เกิดผลผลิต
  3. ปัจจัยป้อนออกเป็นผลผลิตหรือบริการ
  4. มีวงจรต่อเนื่อง
  5. มีการต่อต้านแนวโน้มสู่ความเสื่อมของระบบ
  6. ข้อมูลย้อนกลับเพื่อการปรับตัว
  7. มีแนวโน้มสู่ความสมดุล
  8. มีแนวโน้มสู่คามซับซ้อน
  9. มีหลายเส้นทางเพื่อบรรลุจุดมุ่งหมาย
2. ทฤษฏีการบริหารตามสถานการณ์ (Contingency theory)
  หลักการบริหารงานที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับสถานการณ์หนึ่งๆ เท่านั้น ในสถานการณ์ที่ต่างไป ผู้บริหารอาจกำหนดหลักการจากการวิเคราะห์ลักษณะเฉพาะของแต่ละสถานการณ์เพื่อกำหนดแนวทางให้เหมาะสมกับโครงสร้าง เป้าหมายและผู้ปฏิบัติงานในองค์การ
3. ทัศนะที่เกิดขึ้นใหม่
  ทฤษฏี Z  ทฤษฏีการบริหารแบบญี่ปุ่น โดย William Ouchi โดยรวมหลักการบริหารแบบอเมริกันรวมกับแบบญี่ปุ่นมีหลักการสำคัญคือ ความมั่นคงในงาน การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ รับผิดชอบปัจเจกบุคคล เลื่อนตำแหน่งช้า ควบคุมไม่เป็นทางการ แต่วัดผลเป็นทางการ สนใจภาพรวมและครอบครัว

Apply(การประยุกต์ใช้)

  • สามารถนำความรู้ไปปรับใช้กับการบิหารได้

Assessment(การประเมิน)
self :  มีการจดบันทึก
friend :  สนใจและจดบันทึก
Teacher :  มีการอธิบายเพิ่มเติม

วันเสาร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2561


บันทึกการเรียนรู้ ครั้งที่  1

วันพุธที่  17 มกราคม พ.ศ. 2561
เวลา 08.30 - 11.30 น.
Knowledge (ความรู้)

  • แนะนำเกี่ยวกับรายวิชาการบริหารสถานศึกษาปฐมวัย  สร้างข้อตกลงในห้องเรียน  มอบหมายงานและเกณฑ์การการให้คะแนน
  • แจกใบปั๊มการเข้าเรียน 
  • ทำแบบทดสอบก่อนเรียน 

Apply(การประยุกต์ใช้)

  • สามารถนำความรู้ที่ได้จากการแนะแนวไปใช้ในการเรียนการสอนได้  เช่น การเตรียมตัว  สิ่งที่ต้องปฏิบัติและกิจกรรมต่างๆ

Assessment(การประเมิน)
self :  มีการจดบันทึก
friend :  ตั้งใจเรียนดี
Teacher :  มีการเตรียมความพร้อมเป็นอย่างดี

บันทึกการเรียนรู้ ครั้งที่  16 วันพุธที่  25  เมษายน  พ.ศ. 2561 เวลา 08.30 - 11.30 น. Knowledge (ความรู้) แจกรางวัลเด็กดี นำเสนอ...